สำนักข่าว Utusan มาเลเซีย “ประทับใจ” สื่อ จชต.รายงานข่าวความหวังชาวมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจช่วงเดือนรอมฎอนอย่างปกติสุข

0
147


สำนักข่าว Utusan มาเลเซีย ผู้เขียนได้รายงานถึงรู้สึก “ประทับใจ” เมื่อได้อ่านรายงานของสื่อในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย เกี่ยวกับความหวังของชาวมุสลิมในชายแดนภาคใต้ช่วงเดือนรอมฎอน
 มีสิทธิที่จะประกอบศาสนกิจทุกช่วงเวลาอย่างสงบในบ้านเกิดของตนเอง แทนที่จะหวาดกลัว…!! 

ผู้เขียนได้เขียนลงสำนักข่าว Utusan ระบุให้เห็นว่า….กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต้องร่วมกันรับผิดชอบแผนรอมฎอนสันติให้ประสบผลสำเร็จในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ตามที่พระองค์อัลเลาะห์ได้บัญญัติในบทอัลบาบากอเราะห์ ข้อ 183 ซึ่งมีความหมายว่าโอ้ท่านผู้ศรัทธาเจ้ามีหน้าที่ต้องอดอาหารตามหน้าที่ของผู้ที่อยู่ก่อนหน้าเจ้า เพื่อว่าเจ้าจะได้ยําเกรงต่อพระองค์อัลเลาะห์”  เช่นเดียวกับชาวมุสลิมอื่น  ทั่วโลกประชากรมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยรู้สึกตื่นเต้นอย่างแน่นอนที่จะเฉลิมฉลองเดือนรอมฎอนที่เต็มไปด้วยบุญกุศลในวันอังคารนี้ พวกเขาต้องการเติมเต็มวันรอมฎอนด้วยการเสริมสร้างการกุศลในการนมัสการ(ละหมาดต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานาฮูวาตาอาลา รวมถึงการดําเนินกิจกรรมรายวันเพื่อหารายได้ ซึ่งทั้งสองกิจกรรมนั้นสามารถดำเนินการได้ในสภาพจิตใจที่สงบ และปราศจากเหตุการณ์ที่รุนแรง มิใช่อยู่ในสภาพที่หวาดกลัว 

ชาวมุสลิมในภาคใต้ของประเทศไทยต่างกระตือรือร้นให้เดือนรอมฎอนในครั้งนี้สงบสุข และสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย 

รัฐบาลไทยเข้าใจความฝันของประชากรมุสลิม จึงเป็นเหตุผลว่าทําไมรัฐบาลไทยจึงมีเตรียมการเพื่อดำเนินโครงการรอมฎอนสันติตั้งแต่แรก ผ่านการเจรจาสันติภาพที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 6 – 7

กุมภาพันธ์ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่ผ่านมา  รัฐบาลไทยต้องการให้แน่ใจว่าแผนปฏิบัติติการร่วมสู่การสร้างสันติสุข หรือ JCPP (Joint Comprehensive Plan Towards Peace) สามารถดำเนินการโดยเร็ว และจะช่วยให้เดือนรอมฎอนในปีนี้มีสันติภาพอย่างแท้จริงโดยไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด ความปรารถนานั้นจะสำเร็จหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหรือนักสู้ที่จะเป็นผู้กําหนด 

สำหรับรัฐบาลไทยได้พิสูจน์ความจริงจังผ่านการเปิดแผนรอมฎอนสันติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้ประกาศโดยแม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าโดย พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 แผนดังกล่าวได้ส่งต่อไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย 

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4  กล่าวว่า แผนรอมฎอนสันติมีการวางแผนก่อน ในระหว่าง และหลังเดือนรอมฎอน และได้เน้นย้ำว่าต้องสร้างสันติภาพและไม่ควรมีความรุนแรงใด ๆในในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว และได้ให้การรับรองในความปลอดภัยของประชากรมุสลิมที่จะประกอบภารกิจศาสนาในช่วงเดือนรอมฎอน สิ่งที่รัฐบาลไทยทำผ่านกองกําลังความมั่นคงของประเทศสอดคล้องกับความปรารถนาและความต้องการของประชากรมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยพวกเขาคาดหวังว่าเดือนรอมฎอนจะสงบสุขอย่างสมบูรณ์ และไม่เพียงแต่ในช่วงต้นเดือนรอมฎอนเท่านั้นที่สงบ แต่ช่วงปลายเดือนมีการทำลายด้วยการยิงปืนและมีการปะทะกันระหว่างกองกําลังความมั่นคงและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ผู้เขียนรู้สึกประทับใจเมื่อได้อ่านรายงานของสื่อในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยเกี่ยวกับความหวังของชาวมุสลิมที่นั่นในช่วงเดือนรอมฎอน พวกเขามีสิทธิที่จะประกอบภารกิจศาสนาอย่างสงบในบ้านเกิดของตนเอง แทนที่จะหวาดกลัวเสมอไปเหมือนชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ที่ตกเป็นอาณานิคมของระบอบไซออนิสต์ ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยสถานการณ์แตกต่างออกไป เนื่องจากประชากรมุสลิมไม่ได้ถูกกดขี่หรือเลือกปฏิบัติจากรัฐบาลไทยแต่ชีวิตของพวกเขามักถูกรบกวนอันเป็นผลมาจากเหตุการณ์การยิงหรือการโจมตีที่เชื่อว่าดำเนินการโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เป็นที่น่าเศร้าอย่างยิ่งในเมื่อประชากรมุสลิมเป็นเหยื่อของเหตุกาณ์ไม่สงบ ในขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยืดอก และบอกว่าพวกเขากําลังต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชากรมุสลิม แต่คําถามคือใครเป็นคนกระทําความรุนแรงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้เกิดขึ้นที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้ยิง อส.ฮาเซ็ม กาเดเสียชีวิต และ ..ณัฐธยาน์ ภรรยาได้รับบาดเจ็บ 

กรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุด ซึ่งข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้หลายพันชีวิตที่สูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยและส่วนใหญ่เป็นการกระทำของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน 

ดังนั้น เนื่องในเดือนรอมฎอนในปีนี้ กลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (บีอาร์เอ็นที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย จึงจำเป็นต้องรักษาสัญญาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการนองเลือดในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์
อีกต่อไป 

หากเป็นจริง BRN มีความแข็งแกร่งและอำนาจ ก็จำเป็นต้องสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กับพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยในช่วงเดือนรอมฎอนเพื่อให้ชาวมุสลิมสามารถดำเนินปฏิบัติศาสนากิจได้อย่างสันติ หากในเดือนศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า BRN ไม่มีความแข็งแกร่งและไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทั้งหมดในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย แต่จะถือว่าเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้นํากลุ่มดังกล่าวเท่านั้น 

และในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยและมาเลเซียในฐานะผู้อํานวยความสะดวกจําเป็นต้องสืบหาว่ายังมีใครอีกที่ควรเชิญเข้าร่วมโต๊ะเจรจาสันติภาพกับเพื่อให้แน่ใจว่าการเจรจาได้ดําเนินการกับกลุ่มที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน