เหลือเชื่อ “ปลาพลวงชมพู”เลี้ยงได้ที่เบตง โล 3 พัน แพงสุดในโลก (ชมคลิป)

0
4975

“ปลาพลวงชมพู” เลี้ยงได้ที่เบตงกิโลละ 3 พัน ปลาน้ำจืดราคาแพงที่สุดในโลกหรือเปล่าแต่ถ้าบอกว่าแพงที่สุดในอาเซียนคงจะได้ เพราะราคาซื้อขายในบ้านเราอยู่ที่ กก.ละ 2,000 บาท แต่ถ้าในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และ จีน มีราคา กก. 3,000 บาทขึ้นไป ”

ที่ศูนย์เรียนรู้ด้านการประมง การเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ ของนายสันติชัย จงเกียรติขจร อายุ 63 ปี ตั้งอยู่เลขที่ 138 หมู่ที่ 2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา ได้กล่าวถึง “ปลาพลวงชมพู” ที่กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา ได้ศึกษาจนสามารถนำมาขยายพันธุ์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจตัวใหม่ได้แล้ว

ปลาพลวงชมพู เป็นปลาน้ำจืดประจำท้องถิ่น จ.ยะลา และ นราธิวาส มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า อีแกกือเลาะห์ หรือปลากือเลาะห์ อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาเวียน และปลาพลวงหิน มีความโดดเด่นในสีของเกล็ดที่มีลักษณะเป็นสีชมพู ครีบหลังและครีบหางสีแดง เป็นปลาพลวงชนิดเดียวที่รับประทานทั้งเกล็ดนิยมบริโภคในประเทศแถบอินโดจีน โดยเฉพาะมาเลเซีย ที่ยังไม่สามารถวิจัยเพาะขยายพันธุ์ได้ และมีกฎหมายห้ามจับจากธรรมชาติมารับประทาน

นายสันติชัย กล่าวว่า สาเหตุที่ปลาพลวงชมพู มีราคาสูง เพราะเป็นปลาที่มีรสชาติดี และหาได้ยากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งการเลี้ยงจะต้องเป็นพื้นที่มีน้ำไหลตลอดเวลา น้ำต้องมีปริมาณออกซิเจนสูงอย่างน้อย 6 ppm ขึ้นไป ถ้าน้อยกว่านี้จะตายทันที ในขณะที่ปลาน้ำจืดชนิดอื่นยังสามารถมีชีวิตรอดได้ นอกจากนั้น ยังเป็นปลาที่ให้ไข่น้อย แค่ 1,000-2,000 ฟอง จะมีแค่ 700 -800 ตัวออกมา ต่างกับปลาน้ำจืดชนิดอื่นๆ ให้ไข่ตั้งแต่หมื่นฟองขึ้นไปจนถึงแสนฟอง เลยเป็นเหตุให้เสี่ยงสูญพันธุ์ได้ง่ายในธรรมชาติ และการนำมาผสมเทียมเพื่อขยายพันธุ์ยังยากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น เนื่องจากระยะไข่สุกพร้อมที่จะผสมพันธุ์ได้ ไข่ที่มีอยู่น้อยแล้ว ยังสุกแก่ไม่พร้อมกันอีก

นายสันติชัย กล่าวอีกว่า ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา ได้ทำการขยายพันธุ์ โดยต้องใช้เจ้าหน้าที่มีความชำนาญพิเศษ เฝ้าสังเกตระยะที่มีไข่สุกพร้อมมากที่สุด ถึงจะทำได้สำเร็จเพื่อที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ อ.ธารโต และ อ.เบตง จ.ยะลา นำไปเลี้ยงในบ่อดิน ต่อท่อตรงมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติและปล่อยให้ไหลผ่านระบายออกไป โดยปล่อยลูกปลาขนาด 2-3 นิ้ว หนัก 20 กรัม ในอัตรา 1-5 ตัวต่อพื้นที่บ่อ 1 ตร.ม. ให้อาหารปลาโดยใช้ปลาดุกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น มื้อละ 2-3% ของน้ำหนัก ตัวและใช้เวลาเลี้ยง 2ถึง3ปี ถึงจะมีน้ำหนัก 3 กก. ได้ขนาดตรงความต้องการของตลาด

ซึ่งปลาพลวงชมพูจะให้ผลตอบแทนสูง มีอัตราแลกเนื้ออยู่ที่ 2-3 : 1 ถ้าจะเลี้ยงให้ได้ขนาด 2.3 กก. ใช้อาหารไม่เกิน 7 กก.ฉะนั้นจะมีต้นทุนค่าอาหารแค่ตัวละ 210 บาท แต่สามารถขายได้สูงถึง กก.ละ 3,000 บาท
นายสันติชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันปลาพลวงชมพูมีตลาดรับซื้อไม่อั้นในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน โดยประเทศมาเลเซีย ได้มีการสั่งจองไว้ล่วงหน้า 1 ปีมาแล้ว แต่ด้วยปลามีอายุเพียง 2 ปีซึ่งยังไม่เติบโตเต็มที่จึงยังไม่ได้ส่งออก
อย่างไรก็ตามทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่องในการเลี้ยงปลาพลวงชมพูในบ่อซีเมนต์ ด้วยระบบน้ำหมุนเวียน ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยายพันธุ์ปลาพลวงชมพูให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น หากผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-7329-7042 หรือสามารถมาศึกษาดูงานได้ที่ศูนย์เรียนรู้ด้านการประมง การเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ ของนายสันติชัย จงเกียรติขจร ตั้งอยู่เลขที่ 138 หมู่ที่ 2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา โทร.095-094-6153

ข่าว / เจษฎา สิริโยทัย
ภาพ / อิมรอน ดามาอู @ชายแดนใต้ อ.เบตง จ.ยะลา