โจรจีนปล้นโรงพักเบตงตอนที่10 (ล่าตัว ตรวจค้น จับกุม)

0
1409

โดยอิสมาแอล สาเร้ะ นักประวัติศาสตร์มลายูเบตง

หลังจากโทรเลขไป มณฑลเสร็จ  นาย สงวน  ก็เดินลงมา จาก สำนักงาน ไปรษณีย์  เป็นเวลา  16.15  น.แล้ว    หลวงเจริญ  พร้อมตำรวจ  8 นาย เดินตามกันมา จากสถานีตำรวจ  จะเข้าไปในตลาด(สถานีตำรวจห่างจากตลาดประมาณ  600-700 เมตร)  หลวงเจริญ เอ่ยปาก “ ไปตลาด  จะไปด้วยกันก็มา  จึงตามกันไป พอถึงตลาด นายสงวน นึกเอะใจ เรื่องธงแดงหน้าร้าน มองหา  แต่พอเงยหน้า จะดู ธงไม่มีเสียแล้ว

ในตัวตลาด ตำรวจช่วยกันประกาศ  ให้ ทุกร้าน  ทุกบ้าน เปิดประตู  นับตั้งแต๋โจรจีนโจมตี (11.00น) ล่วงเลยตอนนี้ เป็นเวลา  16.30 น  แล้ว  ร้านค้าในตลาดปิดประตูกันหมด  เว้นแต่ร้าน ซักรีด ที่อยู่ข้าง ด่านศุลกากร เปิดอยู่เจ้าเดียว ( ปัจจุบัน เป็นบ้านของ นาย ตันกุยหลิม หรือ แป๊ะหลิม) คำสั่งเปิดบ้าน เพื่อให้ชุมชนแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา หรือยอมให้พวกโจรหลบซ่อนตัวข้างใน  และประการที่สำคัญ  คือตำรวจสงสัย  ว่าพวกปล้น จะหลบซ่อนตัวอยู่ข้างใน

ขณะที่ร้านทุกร้าน กำลัง เปิดประตู  อยู่นั้น  ร้าน  “เจียเซียะ”  และร้านของนาย  บาบีซัง ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ  แม้ว่าตำรวจ  จะตะโกนเรียก  เท่าไหร่  ก็ไม่มีเสียงตอบ หรือแสดงว่าจะเปิด  ตำรวจจึงยิงชายคาบ้าน  เป็นการสำทับให้เปิดประตู  แต่ก็ยังไม่มีคนเปิด  ตำรวจจึงใช้กำลัง พังประตูเข้าไป  ภายในร้าน ของ นาย เจียเซียะ  ซึ่งนายสงวน   และ ส.ต.ท  แดง ที่เดินติดตามหลวงเจริญฯ เข้ามา   ได้เห็น  นาย เจียเซียะ  เพียงคนเดียว     หลวงเจริญ ฯ จึงถามไปว่า (เป็นภาษา มาลายู)  เหตุใดจึงไม่เปิดประตู

นายเจียเซียะ ตอบด้วยสีหน้าท่าทางยุ่งยากลำบากใจว่า “กลัว”

หลวงเจริญฯ  ถามถึงปืนยาว ที่นาย  “เจียเซียะ” เป็นเจ้าของ

นาย “เจียเซียะ” ตอบกลับว่า  “คนร้ายปล้นเอาไป”

หลวงเจริญซักว่า  “ลักไปเมื่อใด”

นาย  เจียเซียะ”  ตอบว่า  “  ลักไปเมื่อเช้า”                                                                                           หลวงเจริญ ขึ้นเสียง ปากสั่นว่า “ถ้างั้น ลื้อเอาปืน  ให้โจรยิงตำรวจนะสิ”

นาย เจียเซียะ  ตัวซีด  ปากสั่น  ละลำละลัก  กับหลวง เจริญ  ว่า  ตนเองไม่ได้คิดร้าย ถึงเพียงนั้น  การที่คนร้าย ลักปืน หรือพูดให้ถูก ก็มาขู่เอาปืนไป  ตัวเขาเอง ไม่ได้ ยินยอมพร้อมใจ แต่ถ้าขัดขืน ก็อาจถูกทำร้าย  เป็นอันตราย แก่ชีวิต  จึงแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า  ด้วยการ มอบปืนให้  ครั้นคนร้าย  เอาปืนไปแล้ว  ตัวเองก็ไม่มี โอกาสไปแจ้ง ต่อ เจ้าหน้าที่ เรื่องเป็นอย่างนี้ก็ขอให้เห็นใจด้วย  พร้อมกับก้มลงกราบ  ที่เท้า หลวงเจริญฯ พร้อมกอดขาใว้แน่น  ปากก็พร่ำร้องไห้ไปด้วย

หลวงเจริญฯ   แม้จะโกรธ  ก็ไม่ได้แสดงอาการ  รุนแรงใดๆ ออกมา ต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ส่วนนาย สงวน ก็เดิน ออกมา มุ่งหน้า ไปที่ แขวนตั้งธงแดง ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม  นายสงวน กล่าวว่า   ต่อมาก็ได้ข่าว ว่า  นาย  เจียเซียะ   ตายเสียแล้ว  โดยปกติ  นาย เจียเซียะ  เป็นคน  อัธยาศัยดี  อารี อารอบ กับคนทั่วไป   ไม่น่ามาจบชีวิต  กะทันหันแบบนี้เลย นายสงวนกลับมาให้ความสนใจ  จุดที่แขวนธงแดง  ที่จุดนั้น มีป้ายใหญ่  ติดกับเสาหน้าบ้าน ติดอยู่กึ่งกลาง ระหว่างร้าน ชื่อ “ท่งกี่”  “มั่นหมี่หลง”  และ”ไท้ฮิ้น”  ตามลำดับ นับจากที่ ตั้ง “ไปรษณีย์ ( นับจากตะวันตก)  และป้ายใหญ่นั้น  อยู่ระหว่างร้าน  “มั่นหมีหลง”  กับร้าน  “ไท้ฮิ้น”

จากการสืบ ทราบว่า  กลุ่มโจรกลุ่มนี้ เป็นจีน แคะ(ฮากกา)  และร้านค้าทั้งสามร้าน ที่กล่าว ก็เป็นของจีน แคะธงแดง และป้ายขาวอันใหญ่ที่เห็นแต่แรกราว 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา  ก็ปรากฏชัดเจนว่า อยู่ตรงนี้ ชัดเจนแล้ว จะเป็นที่อื่นไม่ได้แล้ว

สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น ถ้าเราจะปรักปรำว่า ร้านนั้นหรือ  3 ร้านนั้น เป็นสมัครพรรคพวกของ โจรจีน  ก็ยังมีปัญหาที่ต้องคำนึงถึงว่า  อาจเป็นไปได้ว่า พวกโจรจีนเคารพเจ้าของร้านเหล่านั้น  ไม่ประสงค์ ให้พรรคพวกสร้างความเดือดร้อน อันตราย  จึงได้เอาผ้าแดงมาติดใว้   โดยเจ้าของไม่รู้เห็นเต็มใจด้วยเลย  อย่างนี่ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน   ด้วยเหตุนี้  นาย สงวน จึงเงียบ ไม่เอ่ยเรื่องธงให้ใครฟัง  นายสงวนกล่าวใว้ในบันทึกความว่า  “ขณะนี้ปากฆ่าคนได้ง่ายที่สุดในภาวะเช่นนี้  หากเกิดเหตุการณ์อย่างว่านี้กับท่าน เมื่อใด อย่าได้เข้าไปเกี่ยวข้องเป็นดี “ (บันทึกหน้า45)เมื่อเสร็จธุระทางนี้แล้ว  พากันเดินตามหลวงเจริญ ฯ  ไปทาง ตลาดสด( ปัจจุบันเป็นอาคารราชพัสดุ  ตรงมุมถนนตัณท์วีระ) ร้านค้าทุกร้าน  ในบริเวณนั้น ปฎิบัติ ตามคำสั่ง ของตำรวจอยู่ก่อนแล้ว  คือประตูร้าน เปิดก่อน เจ้าหน้าที่จะมาถึง  เว้นแต่ร้าน  ของ  “โลเง็กซี่”  ไม่เปิด  ตำรวจใช้ปืนยิงที่ชายคาร้าน  กระนั้นคนภายในร้านก็ยังไม่เปิดประตู  อยู่นั่นเอง  จนกระทั่ง นาย อั้งอาบี ที่เช่าอยู่ชั้นบนของร้านตรงกันข้าม   โผล่มาทางหน้าต่างบอกนางเมีย โลเง็กซี่ เมีย โลเง็กซี่ จึงยอมเปิด ประตู

หลวงเจริญฯ  นาย สงวน และตำรวจ พากันเข้าไปในร้าน  พบเมียโลเง็กซี่  กับลูกอีก  3  คน  เมื่อเจอหน้าตำรวจ  เมียโลเง็กซี่  ดัดจริตพูดภาษาไทรไทรบุรี ( ภาษาไทย ปนมลายู) ด้วยสีหน้าและท่าทาง เป็นการวาง มาด  (มาตร์ สำนวนในบันทึก) เอางานเอาการเลยทีเดียว  ซ้ำยังพูดว่า

“  เมื่อพ่อมันก็ตายแล้ว  ลูกมันก็ตายแล้ว ..แม่มันจะอยู่ไปทำไม ..ตายดีกว่า..ว่าแล้วนางก็พร่ำรำพัน  ตีอกชกตัว อย่างกัว่าจะให้มันตาย ต่อหน้าต่อตาพวกเราจริง ๆ  แต่พวกเราคิดว่า มันทำตามอารมณ์แค้นชั่วขณะหนึ่ง ไม่ไช่กล้าหาญที่จะให้ตาย จริงๆ

หลวงเจริญฯ  สั่งให้ตำรวจตรวจค้น  ว่าจะมีอาวุธหรือมีอะไร ซุกซ่อนใว้บ้าง  ส่วนหลวงเจริญ ตรวจค้นดูเอกสาร  ได้สมุดที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือตัวถั่วงอก  10  กว่าเล่ม ( น่าจะเขียนด้วยภาษาจีน)/ผู้เขียน

ในจำนวนนี้  มีสมุดพกรวมอยู่ ด้วย( ภายหลังทราบว่า  สมุดเล่มนี้ เป็นบันทึก ของ “ โลเง็กซี่  “  ได้บันทึกเหตุการณ์บางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ  พระพิธิธุระการและหลวงเจริญ ฯ  เป็นเรื่องที่ทำเกิดความสนใจแก่ท่านผู้สำเร็จราชการ และเจ้าเมืองยะลาอยู่มาก)

ในการตรวจที่ร้าน  โลเง็กซี่   นอกจากได้เอกสารแล้ว ไม่มีอะไร  หลวงเจริญ ฯ  สั่งยุติการตรวจค้น  แล้วออกมานอกร้าน  สั่งตำรวจให้แจ้งเจ้าของร้าน  บอกต่อๆกันไปว่า  ให้เปิดร้าน  จนถึง 24.00 น  หลังจากนั้นก็ปิดร้านได้  เมื่อปิดร้านแล้ว ให้ติดไฟตะเกียง (ยังไม่มีไฟฟ้าใช้) ใว้ที่หน้าต่างชั้นบนด้วย  การที่ตำรวจทำ เช่น ถ้าในเวลาปกติ  ถือว่าเข้มงวดไป  แต่ในภาวะ เหตุการณ์เช่นนี้ ถือว่า สมควรแล้ว ที่ต้องควบคุม ให้ทุกคนอยู่ในขอบเขตที่ดูแลง่าย

ระหว่างเดินทางกลับ  สถานีตำรวจ มีเจ้าหน้าที่เดินสวนมา และบอกว่า มีโทรเลขจากสงขลา  ว่าได้ส่งกำลังตำรวจมาช่วยแล้ว    พวกเราโล่งใจไปตามๆกัน…….อ่านต่อตอนที่  11                5/02/2561

ขอขอบคุณบทความ คุณสงวน จิรจินดา / เรียบเรียงโดย นายสุกรี มะดากะกุล บก.@ชายแดนใต้