ตำรวจ ทหารร่วมแถลงโชว์ผลงานการปฏิบัติในรอบ 5 เดือน หลายคดีคืบพร้อมยึดอาวุธสงครามเพียบ

0
1101

ตำรวจ ทหารร่วมแถลงโชว์ผลงานการปฏิบัติในรอบ 5 เดือน หลายคดีคืบพร้อมยึดอาวุธสงครามเพียบ

วันที่ 20 กพ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ ห้องประชุมยะลารวมใจ กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พลตำรวจโทรณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมด้วย พลตรีวรพล วรพันธ์ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, นายอิสระ ละอองสกุล ผู้ช่วยเลขาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ และหัวหน้ากองกำลังตำรวจจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และหัวหน้าหน่วยต่าง ๆ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าคดีสำคัญ ในห่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2561  – กุมภาพันธ์ 2562 คดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจำนวนทั้งสิ้น 63 คดี และสามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดได้จำนวนมาก

พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9  กล่าวว่าในปัจจุบัน กลุ่มขบวนการผู้ก่อความรุนแรงในพื้นที่ จชต. จะใช้ผู้ก่อเหตุเป็นคนอายุมาก 30 ปีขึ้นไป ในการทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ลงมือก่อเหตุ เช่น โปรยตะปูเรือใบ ตัดต้นไม้ ตรวจสอบได้จาก คดีคนร้ายเตรียมก่อเหตุยิงไทยพุทธในพื้นที่ จ.ยะลา คดียิง อส. ในโรงเรียน 4 ศพ ในพื้นที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งแตกต่างจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มผู้สนับสนุนการก่อเหตุจะเป็นสมาชิกขบวนการที่อายุน้อย เป็นวัยรุ่นในการให้การช่วยเหลือผู้ก่อเหตุ จึงพิสูจน์ได้ว่า นโยบายของ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ที่ร่วมมือกันปฎิบัติการเชิงรุก ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง ทำให้กลุ่มขบวนการไม่สามารถฝึกสมาชิกใหม่มาสนับสนุนการก่อเหตุได้ทัน จึงต้องหันไปใช้คนรุ่นเก่า ๆ มาช่วยสนับสนุนการก่อเหตุ ในช่วงเดือน ธ.ค. 61 – ก.พ. 62 มีเหตุความรุนแรงหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ สงขลา กับ ปัตตานี และอีกกลุ่ม คือ นราธิวาส ซึ่งสามารถอธิบายเหตุผลของสถานการณ์ช่วงดังกล่าวได้ โดยคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จ.สงขลา และ ปัตตานี นั้น เกิดเนื่องจากมีเหตุระเบิดนางเงือกและเจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบตัวคนร้ายและเข้าควบคุมญาติของแกนนาขบวนการ ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าของขบวนการในเขตพื้นที่ สงขลา และ ปัตตานี ทำให้มีการตอบโต้ทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแกนนาคนดังกล่าวเป็นแกนนาระดับหัวหน้า สามารถสั่งการได้หลายพื้นที่ ทำให้เกิดเหตุในหลาย ๆ จุดต่อเนื่องกัน ในส่วนของพื้นที่ จ.นราธิวาส ซึ่งมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้งนั้น เกิดจากการตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่ในการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่บนภูเขา โดยเจ้าหน้าที่ ได้มีการเข้าตีฐานของ ผกร. บนเขา 3 ครั้ง ผกร. เสียชีวิต 3 ศพ จึงทาให้กลุ่ม ผกร.ตอบโต้การทางานของเจ้าหน้าที่โดยก่อเหตุ โจมตีฐาน ชคต.กาลิซา อ.ระแงะ วางระเบิด ทหารพราน ฉก.ทพ.48 พื้นที่ อ.สุไหงปาดี ยิงเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ พื้นที่ อ.สุไหงปาดี ซึ่งเป็นผลจากการปฎิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ในการกดดันกลุ่ม ผกร. ให้ไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้

“คดีความมั่นคง ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ จชต. ตั้งแต่เดือน ตค.61 – กพ.62 มีจำนวนทั้งสิ้น 63 คดี แบ่งเป็น จ.ยะลา มั่นคง เกิด 14 คดี ออกหมายจับ 42 หมาย จับกุม 13 คน  จ.ปัตตานี มั่นคง เกิด 17 คดี ออกหมายจับ 36 หมาย จับกุม 15 คน วิสามัญ 2 ศพ จ.นราธิวาส มั่นคง เกิด 24 คดี ออกหมายจับ 10 หมาย จับกุม 5 คน วิสามัญ 3 ศพ  และ จ.สงขลา มั่นคง เกิด 8 คดี ออกหมายจับ 6 หมาย จับกุม 2 คน วิสามัญ 1 ศพ รวมทั้งสิ้นคดีความมั่นคง 63 คดี ออกหมายจับทั้งหมด 94 หมาย จับกุม 35 คน วิสามัญ 6 ศพ ส่วนความคืบหน้าคดีสำคัญในพื้นที่ จ.ยะลา   เหตุคนร้ายลอบวางระเบิด จนท.อส.ทพ.ร้อย 4707 บริเวณสามแยกบ้านอาสิน ม.4 ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2561  ออกหมายจับ 4 หมาย จับกุมได้ 4 ราย  ซึ่งการปฏิบัติการเชิงรุก 3 ห้วง ประกอบด้วย   การตรวจค้น ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยร่วมก่อเหตุความรุนแรง ในพื้นที่ ยะหา กาบัง  เมื่อวันที่  14 ตุลาคม 2561  รับสารภาพว่า ก่อเหตุมา 4 คดี ทำให้สามารถ ขยายผล ออกหมายจับได้ทั้งหมด 27 หมาย จับกุมได้ 5 ราย การปิดล้อมเป้าหมาย บ้านเลขที่ 70/6  ม.4 ต.เขาตูม  อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ควบคุมตัวนายมักตา สามะ  เมื่อ 30 ธ.ค. 61 เป็นกรณีที่วางแผนจะก่อเหตุยิง ไทยพุทธบริเวณสวนส้ม เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้ก่อนไปก่อเหตุ ออกหมายจับ 5 หมาย จับกุมได้ 3 ราย และการตรวจค้นสถาบันปอเนาะ มูฮัมมาดียะห์ อิสลามียะห์  ควบคุมตัว ผตส. เหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ตลาดพิมลชัย เมื่อ 22 ม.ค.61 ขยายผลออกหมายจับ ได้ 5 หมาย จับกุม ได้ 1 ราย” พลตำรวจโท รณศิลป์ กล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจภูธภาค 9 ยังกล่าวอีกว่า สำหรับพื้นที่ จ.ปัตตานี   มีเหตุความมั่นคงเกิดขึ้น 17 คดี ออกหมายจับได้ 36 หมาย ผู้ต้องหา 36 คน จับกุมแล้ว 15 คน ยังคงหลบหนี 21 คน การดำเนินการออกหมายจับในคดีเก่า ออกหมาย 27 หมาย วิสามัญคนร้ายได้ 2 คนการปฎิบัติการเชิงรุก ปิดล้อมตรวจค้น จำนวน 1574 ครั้ง ควบคุมผู้ต้องสงสัย จำนวน 101 คน ทั้งนี้สืบเนื่องจากเหตุความรุนแรงในห้วงธันวาคม 61 ถึง มกราคม 62 มีเหตุเกิดจำนวนมาก ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และสงขลา จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกัน มีนายมะซูกี สารูเมาะ เป็นผู้สั่งการโดยเจ้าหน้าที่ได้ติดตามพิสูจน์ทราบมาตั้งแต่ปี 59 แต่ในตอนนั้นทราบเพียงชื่อจัดตั้งว่า อัสฮา เป็นหัวหน้าเขตโซนตะวันออก รับผิดชอบฝั่งตะวันออกของปัตตานี และ 4อำเภอของสงขลา มีอำนาจสั่งการเคลื่อนย้ายอาวุธและสั่งการ RKK ได้หลายพื้นที่  หลังจากเกิดเหตุระเบิดนางเงือกในพื้นที่ สงขลา เจ้าที่ได้ทำการสืบสวนทราบว่า นายมะซูกี เป็นผู้สั่งการหลังจากทำการควบคุมตัวญาตินายมะซูกีในพื้นที่ อ.ยะรัง ทำให้นายมะซูกี โกรธแค้น จึงได้สั่งการก่อเหตุ ฆ่าแขวนคอครูพื้นที่ สะบ้าย้อย และนำรถมาวางระเบิดข้าง ฉก.สงขลา  รวมทั้งเหตุรอบวางระเบิดพื้นที่ยะรัง  ซึ่งมีผลตรวจของสะเก็ดระเบิดตรงกับเหตุระเบิดที่นางเงือก  และเหตุยิง อส.4 ศพ พื้นที่ยะรัง ซึ่งสามารถออกหมายจับ ได้จำนวน 5 คน วิสามัญ 2 คน  และเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจหนองจิก เหตุยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นาประดู่ ที่สามารถออกหมายจับจำนวน 5 หมาย ปัจจุบันนาย.มะซูกี มีหมายจับ ป.วิอาญา 1 หมาย คือเหตุระเบิดเรือ ในพื้นที่ เมืองปัตตานี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการเร่งติดตามจับกุมพร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับในคดีที่เกี่ยวข้องต่อไป

“ส่วนพื้นที่ จ.นราธิวาส  มีผลการปฏิบัติที่สำคัญเกี่ยวกับคดีความมั่นคง 5 คดี ออกหมายจับ จำนวน 10 หมาย จับกุมแล้ว จำนวน 5 ราย หลบหนี จำนวน 5 ราย วิสามัญฆาตกรรม จำนวน 3 ราย จำหน่ายหมายจับค้างเก่า จำนวน 8 หมาย ตรวจยึดอาวุธปืนได้ จำนวน 6 กระบอก ชุดแผงวงจรประกอบระเบิด จำนวน 2 ชุด พร้อมชิ้นส่วนอุปกรณ์ประกอบระเบิด จำนวน 3 ชุดการปฏิบัติการเชิงรุกที่สำคัญ

 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการเชิงรุกลาดตระเวนพิสูจน์ทราบฐานปฏิบัติการคนร้ายในพื้นที่ป่าภูเขา พื้นที่บ้านแฮ หมู่ที่ 4 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส และเกิดการยิงปะทะกัน แต่คนร้ายใช้ความชำนาญพื้นที่หลบหนีไปได้ พบเพิงพักผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 11 หลัง สามารถตรวจยึดอุปกรณ์ประกอบระเบิด ปืนกลมือ(UZI) ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นปืนที่ถูกคนร้ายปล้นไปจากกองร้อยทหารราบที่ 15121 (ฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ) บ้านมะรือโบตก หมู่ 1 ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 ซึ่งปืนดังกล่าวเคยใช้ในก่อเหตุยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องและโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4816 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 โดยในวันเดียวกันหลังจากเกิดเหตุปะทะกันในช่วงเช้า ช่วงบ่ายวันเดียวกันคนร้ายได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน 45 บริเวณบ้านซีโป หมู่ที่ 3 ตำบลเฉลิม อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เป็นการตอบโต้และ และตัดกำลังเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าสนับสนุนปฏิบัติการติดตามคนร้ายที่หลบหนีบนภูเขา  ต่อมาช่วงค่ำของวันที่ 28 ธันวาคม 2561 คนร้ายได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสหลายจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อำเภอศรีสาคร อำเภอจะแนะ และอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เหตุการณ์ที่สำคัญคือคนร้ายได้ยึดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกาหนั๊วเป็นจุดสูงข่ม ขว้างระเบิดแสวงเครื่องและใช้อาวุธสงครามยิงโจมตีชุดคุ้มครองตำบลกาลิซา อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ที่อยู่ติดกัน จากผลการพิสูจน์หลักฐานพบว่ามีอาวุธปืนลูกซองที่คนร้ายใช้ยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ฐานบ้านแฮ เมื่อ 12 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมารวมอยู่ด้วย  ต่อมาวันรุ่งขึ้น 29 ธันวาคม 2561 คนร้ายได้ก่อเหตุยิงซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4905 บริเวณถนนสาย 4217 บ้านไอร์กาแซ ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย   วันที่ 18 มกราคม 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมคนร้ายพื้นที่บ้านตือกอ หมู่ที่ 7 ตำบลจะแนะ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส พบฐานปฏิบัติการคนร้ายอยู่ในป่าท้ายหมู่บ้านและเกิดการปะทะกัน นายฮาซัน  มะลี ราษฎรบ้านแฮ หมู่ที่ 4 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ถูกวิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ ข้างศพมีอาวุธปืนอาก้า (AK 102) ตกอยู่ 1 กระบอก จากการตรวจสอบพบว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่คนร้ายได้จากการก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ชุดคุ้มครองตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัด นราธิวาส เสียชีวิต 2 ราย บริเวณถนนภายในหมู่บ้าน (บ้านโผลง-บ้านโต๊ะเด็ง) หมู่ที่ 1 ตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี  จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 ต่อมาในวันเดียวกันเวลาประมาณ 20.00 น. คนร้ายได้ตอบโต้โดยบุกเข้าไปในวัดรัตนานุภาพ (โคกโก) ตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ก่อเหตุยิงพระสงฆ์ มรณภาพ 2 รูป บาดเจ็บ 2 รูป โดยพบว่าปืนที่ใช้ในการก่อเหตุในคดีนี้ เป็นปืนที่เคยก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครชุดคุ้มครองตำบลโต๊ะเด็ง เสียชีวิต 2 ราย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 รวมอยู่ด้วย  วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 เจ้าหน้าที่ได้เข้าปฏิบัติการชิงรุกในพื้นที่ป่าภูเขา บ้านไอร์ลาฆอ หมู่ที่ 2 ตำบล ช้างเผือก อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และเกิดการปะทะกันอีกครั้ง คนร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน 2 ราย คือนายอายิ ยามา ราษฎร หมู่ที่ 3 ตำบลดุซงญอ อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และ นายสุกรี  มามุ ราษฎรหมู่ที่ 7 ตำบลสากอ อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ตรวจยึดอาวุธปืนได้ จำนวน 4 กระบอก เป็นอาวุธปืน M16-A2 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นปืนที่คนร้ายปล้นไปจากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ทหาร กองร้อยทหารราบที่ 2923 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 34 เสียชีวิต 8 นาย บริเวณถนนสาย บ้านรือเปาะ-บ้านปาแย หมู่ที่ 4 บ้านรือเปาะ อำเภอ จะแนะ จังหวัด นราธิวาส เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2551 อาวุธปืนอาก้า (AK102) จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นปืนที่คนร้ายปล้นไปจากเหตุยิงอาสาสมัคร มนัส  แววภักดี เสียชีวิต บริเวณป้อมยามหน้าร้านพนาทิพย์ เลขที่ 4/1 บ้านคอลอกาแว หมู่ที่ 1 ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554  อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าอาวุธปืนของคนร้ายมีประวัติก่อเหตุ จำนวน 14 คดี ที่สำคัญเช่น คดียิงราษฎรเสียชีวิต 4 ศพ ที่เดินทางไปร่อนทองคำ พื้นที่หมู่ที่ 5 บ้านน้ำตก ตำบลสุคิริน อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 คดียิงราษฎรบ้านไอร์บาลอ เสียชีวิต 2 ศพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2561 คดียึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องและโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4816 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 รวมถึงคดีซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4905 บริเวณถนนสาย 4217 บ้านไอร์กาแซ ตำบลศรีสาคร อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส บาดเจ็บ 3 นาย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งต่อมาวันที่ 13 และ 14 กุมภาพันธ์ 2562 คนร้ายได้ตอบโต้โดยการลอบวางระเบิดในพื้นที่ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ทั้ง 2 วันต่อเนื่องกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มคนร้ายได้อาศัยพื้นที่ป่าภูเขา เป็นฐานปฏิบัติการในการก่อเหตุและเป็นแหล่งพักพิงหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ มีศักยภาพและความพร้อมในการก่อเหตุตอบโต้เจ้าหน้าที่ได้ทันที อย่างไรก็ตามปัจจุบันจะเห็นได้ว่าประชาชนได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างดีและมีส่วนสำคัญในการชี้เบาะแสคนร้าย ซึ่งจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ผบช.ภ.9 กล่าว

พลตำรวจตรี รณศิลป์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ  ประจำปีงบประมาณ 2562  ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 9 จับกุมจำนวน  22  ราย ผู้ต้องหา จำนวน 40 คน  รวมของกลางยาเสพติด  ยาบ้า จานวน 6,224,771 เม็ด ยาไอซ์ 354.6 กิโลกรัม เฮโรอีน 19.818 กิโลกรัม ซึ่งได้ทำการตรวจยึดทรัพย์เพื่อดาเนินการตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทาผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มูลค่าประมาณ 23,418,463 บาท สำหรับการจับกุมนักค้ายาเพสติดรายสาคัญที่มีปริมาณยาเสพติดของกลางเป็นจานวน สามารถจับกุมได้ จานวน 17 เครือข่าย ผู้ต้องหา 35 คน

ทีมข่าว @ชายแดนใต้ จ.ยะลา