เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประกาศจาก โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมป์ ให้ มัสยิดรายา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทอาคาร หมวดปูชนียสถานและวัดวาอาราม โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมป์ ประจำปี 2561
สายบุรี เป็น เมืองเก่าแก่มายาวนานมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และสถานที่สำคัญๆทางโบราณคดีอยู่หลายแห่งที่ยังไม่ได้รับการดุแลมากนัก การประกาศครั้งนี้จึงเป็นแรงผลักดันหนึ่งให้กับพื้นที่
อำเภอสายบุรี เป็นอำเภอเก่าแก่ของจังหวัดปัตตานี ปีพ.ศ. 2428 มีฐานะเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน 7 หัวเมือง เรียกว่า “เมืองสายบุรี” มีอำเภอในเขตการปกครอง 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอตะลุบัน อำเภอกะลาพอ อำเภอบาเจาะ อำเภอยี่งอ และอำเภอเมืองนราธิวาสพ.ศ. 2444 ยกฐานะเป็นจังหวัดขึ้นกับมณฑลปัตตานี เรียกว่า “จังหวัดสายบุรี” มีอำเภอในเขตการปกครอง 2 อำเภอ กับ 1 กิ่งอำเภอ ประกอบด้วย อำเภอตะลุบัน อำเภอบาเจาะ และกิ่งอำเภอกะลาพอ พ.ศ. 2475 ยุบจังหวัดสายบุรีลดฐานะเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดปัตตานี เรียกว่า “อำเภอสายบุรี” มีกิ่งอำเภอขึ้นกับอำเภอสายบุรี 1 กิ่งอำเภอ คือ “ กิ่งอำเภอกะลาพอ ” ส่วนอำเภอบาเจาะได้โอนไปขึ้นกับจังหวัดนราธิวาสพ.ศ. 2481 ยุบกิ่งอำเภอกะลาพอให้มีฐานะเป็นตำบลเรียกว่า “ ตำบลเตราะบอน ”พ.ศ. 2516 แยกตำบลไม้แก่น และตำบลไทรทอง ตั้งเป็น “ กิ่งอำเภอไม้แก่น ” พ.ศ. 2525 แยกตำบลกะรุบี ตำบลตะโละดือรามัน และตำบลปล่องหอย ตั้งเป็น“ กิ่งอำเภอกะพ้อ ”
เมืองของสายบุรี ตามที่ตั้งเมืองปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2428 โดยพระยาสายบุรี (หนิแปะ) หรือพระยาสุริยสุนทรบวรภักดีฯ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสายบุรี(ตะลุบัน)คนแรก และเมื่อหลังจากย้ายเมืองมา ทางเจ้าเมืองสายบุรีขณะนั้นก็ได้สร้างวังเป็นที่พักตัวและสร้างมัสยิดประจำราชวงศ์ขึ้นโดยเรียกว่า”มัสยิดรายา” โดยการสร้างมัสยิดรายา จะเป็นมัสยิดประจำเมืองและเป็นที่ฝังศพของคนในราชตระกูลสายบุรีด้วย
ตัวอาคารสร้างเมื่อปี 2428 พร้อมๆการสร้างวังสายบุรี และเสร็จพร้อมๆกัน โดยแต่แรกเป็นอาคารก่ออิฐฉาปปูนโครงหลังคาเป็นไม้(โครงสร้างแบบ มินังกาเบา)กระเบื้องดินเผา โดยอาคารแบ่งเป็น 3 หลังคา โดยหลังคา 2 ส่วนแรกเป็นพื้นที่ละหมาดและโถงทางเข้าจะเป็นศาลา
ภายหลังประมาณก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการรื้อศาลาออกและขยายระเบียงรอบๆมัสยิดและยื่นมาเป็นทางเข้าแทนศาลาที่รื้อไปโดยหลังคาใหม่นี้เป็นคอนกรีต ซึ่งการต่อเติมครั้งนี้ได้มีความผิดพลาดด้านโครงสร้างจึงเกิดการพังลงของหลังคาระเบียงและไม่อาจแก้ไขได้จึงมีการสร้างมัสยิดใหม่(มัสยิด ตะลุบัน)ทดแทนและมัสยิดก็ถูกปล่อยร้างมานานหลายปี
กรมศิลปากร สำนักงานศิลปากรที่ 13 ร่วมกับทางเทศบาลตะลุบันเข้าสำรวจเพื่อบูรณะ โดยถือเป็นการบูรณะและปรังปรุงครั้งใหญ่มีการรื้อหลังคาระเบียงออกทั้งหมดแล้วเปลี่ยนเป็นหลังคาดินเผา ส่วนที่ยื่นด้านหน้านั้นได้รื้อและสร้างศาลาโดยเลือกรูปทรงที่ใกล้เคียงยุคสมัยที่สุด ทางเทศบาลได้เข้ามาปรับปรุงเพิ่มห้องน้ำซึ่งของเดิมไม่มี เพื่อรองรับเป็นสถานที่ผู้เดินทาง หรือนักท่องเที่ยว
ปีที่สร้างจากบันทึกกรมศิลปๆ ราวๆ ปี 2428 สถาปนิกผู้ออกแบบ เป็น นายช่างชาวมินังกาเบา จากชวา ไม่ทราบซื่อและและช่างท้องถิ่นภายใต้การกำกับจาก รายาสายบุรี เป็นอาคารหนึ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ให้ อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษากันต่อไป
ภาพ/ข่าว สุกรี มะดากะกุล บก.@ชายแดนใต้